เว็บไซด์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยถ่ายทอดตามแนวทางที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานได้เมตตาสอนไว้

"..เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นบริวาร เสด็จไปประทับที่พระเชตวัน พระเจ้าปเสนทิโกศลกับพระนางมัลลิกาเทวีพระมเหสี มีความเคารพในพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และได้ถวายอทิสทานกับพระพุทธเจ้า อทิสทานนี้เป็นทานที่ใหญ่ยิ่งซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า "พระพุทธเจ้า ๑ องค์จะมีคนถวายอทิสทานครั้งเดียวในชีวิต และคนที่จะถวายอทิสทานได้นั้นต้องเป็นผู้หญิง"

พระนางมัลลิกาเทวีตั้งใจจะถวายอทิสทานนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลต้องการถวายทานให้ยิ่งกว่าชาวพระนครทั้งหมด พระนางจึงได้กราบทูลพระองค์ให้รับสั่งเขาทำดังนี้คือ ทำมณฑปสำหรับนั่งในวงเวียน ทำด้วยไม้สาละและใช้ไม้ขานางเอาไว้ถ่างขาทำเป็นโต๊ะเพื่อบรรดาพระสงฆ์ ๕๐๐ รูปนั่ง ส่วนพระที่เกิน ๕๐๐ จะนั่งนอกวงเวียน ให้ทำเศวตฉัตร ๕๐๐ คัน ช้าง ๕๐๐ เชือกจะถือเศวตฉัตรกั้นอยู่เบื้องหลังให้ภิกษุ ๕๐๐ รูป ให้ทำเรือด้วยทองคำแท้ๆ ที่มีสีสุกสัก ๘ ลำหรือ ๑๐ ลำ และเรือเหล่านั้นจะอยู่ท่ามกลางมณฑป และจะมีเจ้าหญิงองค์หนึ่งๆ นั่งบดของหอมอยู่ในระหว่างภิกษุ ๒ รูป คือภิกษุ ๒ รูปมีเจ้าหญิง ๑ องค์นั่งบดของหอมถวาย และเจ้าหญิงอีกองค์หนึ่งจะถือพัดถวายแก่พระภิกษุ ๒ รูป พระ ๕๐๐ ก็เจ้าหญิง ๕๐๐ เข้าไปแล้ว และเจ้าหญิงที่เหลือจะนำของหอมที่บดแล้วมาใส่ในเรือทองคำทุกๆ ลำ เจ้าหญิงบางพวกจะถือดอกอุบลเขียวคือดอกบัวเขียวเคล้าของหอมที่ใส่ไว้ในเรือ ทองคำ เพื่อให้ภิกษุรับเอากลิ่นอบ เจ้าหญิงหนึ่งพันองค์อาจจะเป็นลูกบ้าง เป็นหลานบ้าง เป็นเหลนบ้าง

คำว่า "เจ้าหญิง" ส่วนใหญ่จะเป็นลูกของกษัตริย์ และเป็นลูกของกษัตริย์ข้างเคียงคือน้องๆ รองลงไป พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ถวายอาหารอันประณีตแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น ประธาน พร้อมของใช้ในโรงทางทั้งหมดเช่น เรือทองคำ เตียงตั่งทั้งหมด ทานทั้งหลายเหล่านั้นเป็นทรัพย์ประมาณ ๑๔ โกฏิที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงบริจาคในวันเดียว

พระนางมัลลิกาเทวีเป็นคนดีมาก มีจริยาเรียบร้อยทั้งกาย วาจา และใจ การอยู่กับพระราชสวามีก็คอยเอาอกเอาใจทุกอย่าง คอยประคับประคองทุกอย่าง ไม่เคยสร้างความสะเทือนใจแก่พระราชสวามี ทั้งๆ ที่พระองค์มีเมียตั้ง ๑๐๐ คนเศษ มันน่าจะเจ็บชํ้านํ้าใจที่มีคนมาแย่งตำแหน่ง แต่พระนางไม่เคยกล่าวคำหยาบหรือแสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นที่ สะเทือนใจของบุคคลอื่น เป็นคนมีกำลังใจหนักแน่น มีเหตุมีผล มีความรัก ความเมตตาปรานีในภรรยาที่มาทีหลังและลูกทุกคน จะเป็นลูกของใครก็ตาม ท่านถือว่าเป็นลูกของท่านเพราะท่านเป็นเมียหลวง เป็นแม่ใหญ่ กำลังใจอย่างนี้หาได้ยาก

ต่อมาวันหนึ่งเวลากลางคืนดับไฟแล้ว ตอนดึกพระนางนอนอยู่ข้างพระราชสวามี ท่านปวดปัสสาวะก็ลุกจากที่นอนจะไปปัสสาวะ เป็นการบังเอิญเท้าข้างขวาไปสะดุดเท้าพระราชสวามีเข้า เพียงเท่านี้พระนางเสียพระทัยมากคิดว่าความชั่วอย่างนี้ไม่เคยมีสำหรับเรา ทรงแสดงความเศร้าโศกเสียใจร้องไห้สะอึกสะอื้นนอนไม่หลับ

พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ถามว่า "น้องหญิงเสียใจเรื่องอะไร"

พระนางก็ทูลให้ทรงทราบว่า "หม่อมฉันเลวมาก ขอประทานอภัยพระราชา"

พระองค์ก็บอกว่า "ให้อภัยทุกอย่าง ความจริงไม่มีอะไรเป็นความผิดเพราะไม่มีเจตนา ให้เลิกการเสียใจ"

เมื่อพระองค์ทรงปลอบพระนางก็ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ว่ากำลังใจมันข้องคิดว่า

"เราเกิดมาไม่น่าจะสร้างความเลวอย่างนี้ ตัวนี้แหละฝังใจพระนางตลอดเวลา"

กาลต่อมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ในพระเชตวัน เวลานั้นพระนางมัลลิกาเทวีก็ทรงสิ้นพระชนม์เมื่ออายุประมาณ ๕๐ ปี ก่อนจะตายจิตของพระนางหวนนึกถึงว่าเราเลวที่เอาเท้าไปสะดุดเท้าของพระราชสวามี กำลังใจก็เศร้าหมอง แต่ว่าความดีของพระนางมีมาก พอจิตออกจากร่าง ร่างกายของพระนางก็เป็นนางฟ้าสมบูรณ์แบบ แพรวพราวเป็นระยับมีเนื้อเป็นแก้ว สวยสดงดงามมีแสงสว่างเป็นกรณีพิเศษ ถ้าจะเทียบกับนางฟ้าก็เป็น นางฟ้า อันดับหนึ่งของสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก แต่ทว่าออกจากร่างกายแทนที่จะไปสวรรค์กลับไปนรก เอาเท้าแค่ตาตุ่มข้างขวาที่สะดุดพระราชสวามีไปแหย่ในนรกให้ไฟไหม้อยู่ ๗ วันมนุษย์ ความจริงนรกแต่ละขุม วันเวลามากเหลือเกิน นรกขุมที่มีอายุน้อยที่สุดอย่างสัญชีพนรกต้องใช้เวลา ๙ ล้านปีของมนุษย์จึงจะเท่ากับวันหนึ่งของเขา

ฉะนั้น การเอาเท้าแค่ตาตุ่มไปแหย่ในไฟนรกแค่ ๗ วันมนุษย์ ถ้าในเมืองนรกก็จะรู้สึกว่าแป๊บเดียวแล้วยกขึ้นมาเท่านั้นเอง มันเร็วมากถ้าเทียบเวลากัน แต่นาน ๗ วันในโลกมนุษย์ อย่านึกว่า ๗ วันมันไม่ร้อนหรือมันไม่หนัก ตามธรรมดาใครเอาธูปแดงๆ หรือก้นบุหรี่มาโดนแป๊บเดียวเราก็สะดุ้งและไม่ใช่สะดุ้งแล้วก็หายร้อนหาย เจ็บ มันยังร้อนยังเจ็บต่อไปเมื่อเขาดึงเอาธูปหรือก้นบุหรี่ออกไปแล้วก็ตาม ทุกข์ทรมานของพระนางมัลลิกาเทวีแค่ ๗ วันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

ในระหว่าง ๗ วันที่พระนางมัลลิกาเทวีสิ้นพระชนม์แล้ว เวลานั้นพระพุทธเจ้ายังทรงประทับอยู่ที่พระเชตวัน พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ตั้งใจจะไปกราลทูลถามพระองค์ว่า

"พระนางมัลลิกาเทวี พระมเหสีตายแล้วไปอยู่ที่ไหน"

เพราะพระนางมีจริยาดีเป็นเลิศ ตั้งใจปฏิบัติดีทุกอย่าง บุญบารมีก็สร้างหนักกว่าใครทั้งหมด การถวายอทิสทานไม่มีใครสามารถจะทำได้แต่พระนางก็ทำได้ การทำให้หมองใจนิดหนึ่งก็ไม่มีตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าทรงทราบวาระจิตของพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ถ้าตรัสตรงๆ ว่า "เวลานี้พระนางมัลลิกาเทวีไปอยู่เมืองนรก เอาเท้าไปแหย่ไฟนรกแค่ตาตุ่มนาน ๗ วันมนุษย์" ถ้าตรัสเพียงเท่านี้พระเจ้าปเสนทิโกศลจะไม่ยอมทำบุญอีกต่อไป จะไม่สร้างความดีต่อไปเพราะความดีที่พระองค์ทำนั้นไม่เท่ากับพระนางมัลลิกา เทวีทำ ดีขนาดนี้ยังลงนรก และพระองค์สั่งคนติดตะรางบ้าง สั่งประหารชีวิตบ้าง สั่งเนรเทศบ้าง รบกับเมืองโน้นตีกับเมืองนี้ ยังสร้างกรรมที่เป็นอกุศลมาก คนที่มีความดีขนาดนั้นยังต้องตกนรก คนอย่างเราก็พ้นไม่ได้ เราก็สร้างแต่ความชั่วเรื่อยไปดีกว่า ถึงอย่างไรก็ต้องตกนรก

พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงยับยั้งกำลังใจของพระเจ้าปเสนทิโกศลเวลาเสด็จไปเฝ้า เพื่อจะถามเรื่องนี้ ก็ทรงบันดาลให้ลืมเรื่องนี้ถึง ๗ วัน เมื่อถึงวันที่ ๘ พระนางมัลลิกาเทวีพ้นจากนรกไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทิพย์เป็นที่อยู่มีความสุขมาก

รวมความว่าท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จงระมัดระวังเรื่องจิตใจให้มาก อย่าประมาทในชีวิต จงอย่าคิดว่าบุญเราได้ทำแล้วและก็จิตใจทิ้งบุญ จะต้องเอาจิตใจเกาะบุญไว้เสมอ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าความชั่วที่ทำมาแล้วในกาลก่อนจงอย่าตามนึกถึงมัน นึกถึงแต่ความดีที่ทำไว้แล้วเท่านั้น นักเจริญพระกรรมฐานอย่าทำจิตให้ว่างจากกุศล ผลของความดีจะส่งผลให้เป็นสุขคือไปเกิดบนสวรรค์ได้.."


ห้องสมุดธรรมะ