เว็บไซด์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยถ่ายทอดตามแนวทางที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานได้เมตตาสอนไว้

"..อาตมาให้ชื่อเรื่องนี้ว่า "กรรมไก่ของฉัน" เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๓๒ ตอนเช้ามีอาการมึนงงมาก จึงนอนภาวนาคิดว่าร่างกายอาจจะตายก็ได้ เพราะท้องก็ปวดจัด เสมหะก็มาก ขณะที่ภาวนาไปใกล้เวลา ๔ โมงเช้า ก็ปรากฏว่าจิตตกวูบลงจากนิวรณ์ มีอารมณ์สว่างไสว เห็นร่างกายของตัวเองนอนอยู่ แต่ร่างกายนั้นตัวใหญ่มาก ร่างกายสมบูรณ์ทุกอย่าง ผิวพรรณสวยสดงดงาม ผิวขาวเหลือง แต่สองมือกุมขมับแสดงว่ามีอาการปวดศีรษะมาก นอนลุกไม่ขึ้นพร้อมกันนั้นก็มีภาพไก่ตัวเมียประเภทไก่ชนสีนํ้าเงินแก่ค่อนข้างดำ มีลายจุดขาวทั้งตัว ยืนอยู่เหนือศีรษะ

ขณะนั้นก็มีเสียงกังวานดังมาจากข้างบน เป็นเสียงค่อนข้างใหญ่ แต่กังวานมากเพราะมาก บอกว่า "จงบวชเณรๆ"

เมื่อฟังแล้วก็คิดในใจว่าการที่ป่วยคราวนี้เป็นมาเดือนเศษ อาการป่วยพิเศษก็คือมันหนักที่ศีรษะมากและก็ปวดขมับ พอถึงเวลาใกล้จะ ๓ โมงเย็น ก็จะปวดขมับทนแทบไม่ไหว และก็มึนศีรษะมาก ศีรษะหนักลุกขึ้นก็มึนงง ขาไม่มีแรงเดินจวนจะล้ม อาการอย่างนี้เป็นมาเดือนเศษ

เมื่อเห็นภาพไก่อย่างนั้นก็ใช้กำลังใจควบคุม อดทนต่ออาการปวดศีรษะ ทนต่ออาการมึนงง ทนต่ออาการปวดท้อง ใช้กำลังขันติเข้าควบคุมแล้วก็รวบรวมกำลังใจด้วย สังขารุเปกขาญาณ กับใช้กำลังใจอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณและยถากัมมุตาญาณ คิดว่าอาการที่เกิดขึ้นอย่างนี้มันมาจากไหน ชาตินี้ทั้งชาติไก่ตัวเมียไม่เคยฆ่า แต่ที่ฆ่าจริงๆ ในชีวิตนี้มีไก่ตัวผู้ ๒ ตัวเท่านั้น และก็ไม่ใช่ลงมือฆ่าเอง คนอื่นเขาฆ่าแต่พลอยกินกับเขา ถ้าถามว่า "ยินดีกับเขาไหม" เวลานั้นเป็นเด็กในเมื่อผู้ใหญ่เขาจะฆ่ากินมันก็ต้องยินดี แต่ก็ไม่ใช่ยินดีในการฆ่า แต่ยินดีในการกิน ถ้าจะถามว่า "บาปไหม" ก็ต้องตอบว่า "บาป" ร่วมบาปกับเขาเพราะโมทนาความชั่ว การโมทนาความดีได้ไปสวรรค์ การโมทนาความบาปมันก็ไปนรกเหมือนกัน

สำหรับไก่ตัวเมียไม่มีในชาตินี้ ก็ทบทวนกำลังใจหาเหตุหาผล การรู้เองนี่ไม่ค่อยจะแม่นยำนัก บางทีก็พลาด ถึงแม้ว่าการสอบถามก็เหมือนกัน ถ้ากำลังใจของเรามีอุปาทานควบคุมอยู่ก็พลาดเหมือนกัน ต้องทำกำลังใจให้เป็นปกติ

เมื่อกำลังใจเป็นปกติก็ถาม ถามว่า "ไก่ตัวนี้ฆ่าตายมาตั้งแต่เมื่อไร" เสียงกังวานนั้นก็ตอบลงมาว่า "ไก่ตัวนี้เจ้าฆ่าตายเมื่อสมัย ๓ ชาติที่ผ่านมา" คือชาตินี้ไม่นับ ถอยกลับไป ๑, ๒ และ ๓ ถามว่า "ในสมัยนั้นเกิดที่ไหน" เสียงก็ตอบมาว่า "เกิดที่จังหวัดอยุธยา" ถามว่า "เหตุที่ฆ่าเป็นเพราะอะไรจึงฆ่า อยากกินหรือว่าฆ่าด้วยความโกรธ" เสียงนั้นก็ตอบมาพร้อมกับทำภาพปรากฏชัดว่า เวลานั้นเป็นเด็กอายุประมาณ ๑๐ ปี เป็นเด็กวัดอยู่ที่หันตรา จังหวัดอยุธยา ขณะเดินไปเห็นสุนัขของชาวบ้านมันเข้ามาในวัดเป็นสุนัขดุ เวลานั้นไก่ฝูงหนึ่งกำลังกินอาหารอยู่ พอเดินผ่านเข้าไปสุนัขดุมันก็ไล่กวดจะกัด ขณะนั้นมีไม้ท่อนสั้นๆ อยู่ที่มือ ก็ขว้างเจ้าสุนัข แต่เจ้าสุนัขมันหลบ เผอิญไปโดนไก่ตัวนี้ตายพอดี เป็นไก่ชนตัวเมียสีนํ้าเงินแก่และก็มีจุดสีขาวตามตัวสวยมาก เห็นเข้าแล้วก็รู้สึกเสียใจว่า ไก่ที่เรารักไม่น่าจะมาตายเพราะเจ้าสุนัขดุตัวนี้ ก็เข้าไปประคับประคองนำไปหาพระท่าน พระก็พยายามทำการปฐมพยาบาลทุกอย่างแต่ไก่ก็ไม่ฟื้น

ในที่สุดเมื่อไก่ตายแล้ว คนอื่นเขาจะนำไก่ไปกินก็ไม่ยอมเพราะฉันรักไก่มาก จึงขอนำไก่ไปฝัง เวลานั้นมีสตางค์เหลืออยู่ ๑ ไพ พ่อให้ไปเพื่ออยู่ที่วัด ก็นิมนต์พระท่านบังสุกุล เมื่อพระบังสุกุลเสร็จก็ลงมือทำการฝัง ไก่ตัวนี้เราก็รักและพระในวัดท่านก็มีความรักในสัตว์ ท่านจัดอาหารมาก็ให้อาตมาเป็นคนเลี้ยง เมื่อเลี้ยงแล้วปรากฏว่าอาตมาก็รักมัน จึงถามว่า "เวลานี้ไก่ตัวนี้ตายแล้วไปอยู่ไหน ไปเกิดเป็นไก่หรือว่าเกิดเป็นคน หรือเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นนางฟ้า" เสียงท่านตอบมาว่า "เจ้าจงไปดาวดึงส์ ไปที่ปัญจสิกขเทพบุตร เจ้าจะพบไก่ตัวที่เจ้าขว้างตายและเป็นไก่ที่เจ้ารัก" จึงตามเสียงนั้นขึ้นไปที่ดาวดึงส์ ไปหาท่านปัญจสิกขเทพบุตร

เมื่อไปถึงแล้วก็ปรากฏว่าท่านคอยต้อนรับอยู่ ก็ถามท่านว่า "ไก่ที่ฉันขว้างถึงแก่ความตายเวลานี้อยู่ที่ไหน" ท่านตอบว่า "ถามผิดให้ถามใหม่ คือว่าไก่ที่เธอขว้างถึงแก่ความตายนั้นไม่มี (ตั้งใจขว้างไก่) มีแต่ไก่ตัวที่เธอตั้งใจขว้างสุนัขแต่เผอิญไปถูกไก่นี้มีอยู่" ก็เลยบอกท่านว่า "ตามนั้นแหละ" ท่านก็ชี้ให้ไปดู นางฟ้าที่นั่งใกล้ๆ เป็นคนโปร่งบาง ผิวขาว แต่งตัวสวยมาก เธอยิ้มแย้มแจ่มใส พอหันหน้าไปหาเธอ เธอก็ยกมือไหว้และถามว่า "จำดิฉันได้ไหมเจ้าคะ" ก็เลยบอกว่า "ถ้าเป็นไก่อาจจะจำได้" ภาพไก่ก็ปรากฏข้างเธอ เธอก็บอกว่า "ฉันคือไก่ตัวนี้เจ้าค่ะ"

ถามเธอว่า "เธอตายจากไก่ที่ถูกขว้างขณะกำลังกินอาหารอยู่ แล้วเธอมาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ได้อย่างไร"

เธอก็ตอบว่า "เวลานั้นเธอมีจิตรักพระมาก พระทุกองค์ในวัดมีจิตเมตตาปรานีในสัตว์ เวลาพระมาเลี้ยงอาหารก็ไม่ต้องเรียก ไม่ต้องต้อน ไก่ทุกตัวเห็นพระก็วิ่งเข้ามาหา และท่านเองก็เป็นคนลงมือเลี้ยง ฉันก็มีความรักในท่าน อาศัยที่มีความรักในพระและมีความรักในท่านที่มีจิตเมตตา ขณะที่ถูกขว้างก็ยังไม่ตายทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่สลบเพราะความรู้สึกตัวยังมีอยู่ ขณะที่ท่านเข้าไปอุ้มก็ยังมีความรู้สึก เวลาที่พระทำปฐมพยาบาลเอามือลูบตัวไปลูบตัวมา ก็มีความรู้สึกคลายจากความเจ็บปวด เมื่อความเจ็บปวดหายไป ประเดี๋ยวหนึ่งจิตใจก็ชุ่มชื่น เวลานั้นจิตก็ออกจากร่างทันที แต่ก่อนที่จิตจะออกจากร่างก็เห็นนางฟ้าลอยอยู่ในอากาศมากมาย จิตใจก็รักนางฟ้า เมื่อจิตออกจากร่างกายก็กลายเป็นนางฟ้า และติดตามนางฟ้าพวกนั้นไป"

จึงได้ถามว่า "ในเมื่อเธอเป็นนางฟ้าแล้วยังจองเวรจองกรรมฉันอยู่อีกหรือ"

เธอก็ตอบว่า "การจองเวรจองกรรมไม่มีในฉัน คือไม่มีเวรไม่มีกรรมที่จะจอง อาการที่ท่านป่วยไข้ไม่สบายเป็นกฎของกรรม ไม่ใช่ตัวถูกกระทำ ผู้ถูกกระทำมีความสุขและมีความรู้สึกขอบคุณในพระในท่านที่ช่วยเหลือ ทำไมฉันจะต้องจองเวรจองกรรม แต่นั่นเป็นกฎของกรรมที่ฉันไม่ได้เกี่ยวข้อง"

ทุกคนจงจำไว้ด้วยว่าการกระทำ เราฆ่าปลาก็ดี ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควายก็ตาม จงอย่านึกว่าเขาเป็นผู้จองเวรจองกรรม แต่ทว่าสิ่งที่กระทำกับเราก็คือ กฎของกรรม คือความชั่วที่เราฆ่าเขามันมาสนองตัวเรา ก็รวมความว่าเธอไม่ได้จองเวรจองกรรม ถามเธอว่า "อโหสิกรรมไหม" เธอตอบว่า "ไม่มีกรรมอันใดที่จะต้องอโหสิ เพราะฉันไม่ถืออยู่แล้วว่าฆ่าฉัน ฉันไม่ได้โกรธ เป็นแต่เพียงว่าขอให้ท่านปฏิบัติแก้กฎของกรรมให้พ้นไปก็แล้วกัน ฉันตามช่วย" ถามเธอว่า "เสียงบอกให้บวชเณร เธอจะว่าอย่างไร"

เธอตอบว่า "ต้องบวชเณรเป็นการแก้กฎของกรรม"

ก็ตกลงจะบวชเณรให้ในวันอาทิตย์ที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๒.."


ห้องสมุดธรรมะ