เว็บไซด์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยถ่ายทอดตามแนวทางที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานได้เมตตาสอนไว้

“..อุปสรรคเป็นของธรรมดาๆ ท่านทั้งหลายต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนว่าการจะไปไหนก็ดี  การจะทำงานทุกอย่างก็ดี  แม้แต่การประกอบอาชีพต่างๆ  ก็ต้องคิดถึงอุปสรรคก่อน  เพราะอุปสรรคต้องมีกับทุกคน วันหนึ่งตั้งใจจะไปหาท่านพระยายมราชก็ลุกจากที่นอนพอเคลื่อนออกจากที่ก็ปรากฏว่ามีหญิงแก่คนหนึ่งผิวขาว รูปร่างเพรียว  อายุประมาณ ๗๐ ปี  นั่งขวางทาง  จึงให้ชื่อเรื่องนี้ว่า หญิงแก่ขวางทาง หลีกทางซ้ายเธอก็ขวาง  หลีกทางขวาเธอก็ขวาง เดินตรงเธอก็ขวาง จึงถามเธอว่า  “เธอจองเวรจองกรรมอะไรกับฉัน ทำไมจึงขวางทางเดินของฉัน  ฉันจะไปหาท่านพระยายมราชแล้วเธอมาขวางทำไม” เธอก็ยิ้มบอกว่า “ที่ฉันมาขวางเพราะฉันยังไม่ต้องการให้ไปหาท่านลุง”  ถามเธอว่า  “เธอต้องการอะไร”  เธอตอบว่า “ตามฉันมา”  ก็เลยบอกว่า“ถ้าอย่างนั้นเธอก็นำหน้าฉันจะตามไป” เธอก็พาเดินเรื่อยขึ้นไปทางด้านทิศเหนือ  ชันขึ้นไปๆ ปรากฏว่าดินแดนนั้นเป็นเขาพระสุเมรุเป็นทางที่ราบรื่น สวยสดงดงามมาก ขึ้นไปไม่เหนื่อย พอไปถึงยอดเขาพระสุเมรุก็ไปถึงที่ปัญจสิกขเทพบุตร  เป็นที่รวมใกล้พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์  เมื่อไปถึงเธอก็นั่ง  คิดว่าพาไปหาผู้พิพากษาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จึงถามท่านปัญจสิกขเทพบุตรว่า “หญิงคนนี้คือใคร” ท่านก็ตอบว่า  “เป็นหญิงคนหนึ่งที่มีคนเขาถามคุณที่ซอยสายลมว่า เธอตายแล้วไปไหนและคุณตอบสั้นๆ ว่า  คิดว่าเธอมีความสุขเพราะว่าคนนี้ทำบุญไว้มาก เวลาเขาถามภาพเกิดกับคุณว่าหญิงคนนี้เคยสร้างพระพุทธรูป ถวายผ้าไตรไว้ในพระพุทธศาสนา แต่ความจริงบุญของเธอไม่ได้ทำแค่นั้นเธอทำไว้มากกว่านั้น เธอเป็นคนใจบุญ เรื่องบาปเป็นของธรรมดาของคนที่เกิดมาต้องมีบาป  แต่เธอเป็นคนใจบุญหนัก  เคยถวายสังฆทานที่เป็นอาหารกับพระ  ถวายสังฆทานที่เป็นของแห้ง  เคยทำบุญบวชพระ ทำบุญทอดกฐิน  จิตใจของเธอจริงๆ  จับอยู่ที่พระพุทธรูปกับผ้าไตร”

อาตมาจึงหันมาถามเธอว่า “ความจริงเป็นอย่างนั้นไหม”  เธอก็ตอบว่า “เป็นความจริงเจ้าค่ะ” ถามเธอว่า “บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ผู้หญิงแก่ๆ แบบนี้มีกับเขาด้วยหรือ เพราะนางฟ้าก็ดี  เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ที่มีรูปร่างแก่น่ะไม่มี” เธอก็ตอบว่า “เท่าที่ให้เห็นแก่จะได้ทราบว่าเมื่อตายอายุเท่าไร” ถามถึงอาการตายของเธอ เธอบอกว่า “มีอาการร้อนในท้องและก็แน่นในหน้าอกไม่มากนัก  ต่อมาศีรษะก็มึน  ความร้อนถึงศีรษะตาก็พร่า  เวลานั้นจิตใจของเธอไม่ได้นึกอะไรมาก นึกอย่างเดียวว่าเวลานี้เรานับถือพระพุทธเจ้า  เราเคยสร้างพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก ๙ นิ้วไว้ในพระพุทธศาสนา  นอกจากนั้นก็ถวายสังฆทานเป็นพระพุทธรูปหน้าตักขนาด ๕ นิ้วบ้าง ๔ นิ้วบ้าง มีผ้าไตร ที่เป็นวัตถุแห้งก็มาก ที่เป็นอาหารก็มาก  ภาพทั้งหมดปรากฏกับเธอ  และเวลานั้นก็ปรากฏมีภาพแมวกับภาพสุนัขที่เธอเลี้ยงไว้ให้ความเมตตาปรานี  เจ้าแมวกับเจ้าสุนัขที่มาหมอบอยู่ข้างๆ  จิตเธอก็มีความรักในมัน อาศัยภาพทั้งหลายเหล่านี้ปรากฏ  ทุกขเวทนาที่ปรากฏในร่างกายมันก็สลายตัวไป เพราะจิตไม่เกาะ  จิตไปเกาะภาพพระพุทธรูปบ้าง จิตไปเกาะผ้าไตรบ้าง การถวายสังฆทานบ้าง  เวลานั้นอารมณ์เป็นสุข”

ต่อมาก็เห็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จมาสว่างใสสะอาดมาก  รูปร่างลักษณะโปร่ง  ผิวขาวค่อนข้างเหลือง  ริมฝีปากแดงสวยมาก ทรงแย้มพระโอษฐ์  จิตใจเธอก็จับพระพุทธเจ้า ต่อมาอีกนิดหน่อยก็เห็นเทวดากับนางฟ้ามีความสวยสดงดงามมากมาชวนเธอว่า “ขอให้ไปสวรรค์ด้วยกันเถิด  ฉันอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์” แต่เท่าที่ปรากฏเวลา นั้นมีเฉพาะเทวดากับนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่านั้น  เธอก็ติดใจนางฟ้า ในที่สุดจิตออกจากร่าง  รูปร่างหน้าตาก็เป็นนางฟ้าสวยสดงดงาม”

เมื่อเธอพูดจบก็ปรากฏว่าร่างกายแก่หายไปมีร่างกายเป็นนางฟ้าสวยสดงดงามแพรวพราวเป็นระยับสวยมาก จึงถามว่า “เท่าที่บอกให้ตามมานี้ต้องการจะให้รู้อะไร”  เธอก็ตอบว่า “อยากจะเล่าให้ฟังเรื่องราวจริงๆ ที่ท่านตอบเขาวันนั้นยังตอบน้อยไป” ก็เลยบอกว่า “ฉันกำลังป่วยมากและก็เหนื่อยมาก คอก็แห้งเสียงไม่ออก เห็นภาพชัดๆ แค่พระพุทธรูปกับผ้าไตรลอยอยู่ข้างหน้าเธอ” เธอก็บอกว่า “ต้องการให้ทราบตามนี้”  จึงถามต่อไปว่า  “ต้องการอะไรอีก” เธอถามว่า “อยากจะดูวิมานฉันไหม” ตอบเธอว่า “อยากจะดูและวิมานของเธอได้มาจากอะไร”เธอก็ตอบ ว่า  “สังฆทานถังที่ถวายท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินที่ถวายร่วม ท่านนำไปใช้เป็นสังฆทานบ้าง  สร้างวิหารทานบ้าง  สร้างพระพุทธรูปบ้าง  ฉะนั้นอาศัยที่เงินของฉันมีส่วนในวิหารทาน ฉันจึงมีวิมาน”

ถามว่า “วิมานของเธออยู่ที่ไหน” เวลานั้นก็ปรากฏมีวิมานทองคำลอยมาแต่ว่าบนยอดเป็นแก้วพื้นของวิมานเป็นทองคำสวยสดงดงามมาก มีนางฟ้าสวยสดงดงามประจำอยู่  ๓,๐๐๐ องค์  บรรดานางฟ้าทั้งหลายเห็นเธอเข้าก็ลงมาไหว้  ถามเธอว่า  “วิมานของเธอเป็นทองคำเพราะอาศัยบุญอะไร” เธอตอบว่า “อาศัยบุญวิหารทานบ้าง สังฆทานบ้าง เลี้ยงสัตว์บ้าง แต่กำลังใจต่ำไปนิดจึงได้วิมานทองคำ” ถามว่า “ยอดวิมานของเธอแทนที่จะเป็นทองคำอย่างวิมานอื่น กลับกลายเป็นแก้วแพรวพราวเป็นระยับ” เธอตอบว่า “ที่เป็นแก้วเพราะ  ฉันชอบใจเฉพาะยอดมณฑป  ตั้งแต่หลังคาขึ้นไปเบื้องบนของมณฑป แต่ความสนใจในตัวอาคารของมณฑปน้อยไป ถ้าเข้าไปที่นั่นเห็นพระก็มีจิตชุ่มชื่น  ฉันพอใจพระทุกองค์  จิตติดใจในพระ ตายแล้วก็ได้วิมานอย่างนี้”  ถามเธอว่า “นอกจากนี้เธอมีอะไรอีกไหม” เธอตอบว่า “ท่านจะไปเขียนหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ ๖ อยากจะฝากไปถึงลูกถึงหลานเขาจะได้ทราบ บอกเขาว่า  ฉันเป็นหญิงเชื้อชาติจีน เป็นจีนทั้งพ่อและแม่ เกิดมาในตระกูลของจีน  แต่ว่าอยู่ในเขตพระพุทธศาสนาตั้งแต่เด็ก ชอบการให้ทาน  เรื่องความโกรธความไม่ชอบใจก็มีบ้างเป็นของธรรมดา ศีลก็รักษาบ้าง ตอนเด็กๆ ก็ไปวัดกับแม่  แม่ให้ใส่บาตรก็ใส่บาตรบ้าง ทั้งๆ  ที่ไม่รู้เรื่องว่าใส่บาตรมีอานิสงส์อะไรก็ได้บุญ  เวลาพระเทศน์ก็ตั้งใจฟังบ้างไม่ตั้งใจฟังบ้าง คิดเรื่องอื่นบ้างถึงแม้ไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็ได้บุญ

ต่อมาก็ชอบในการถวายสังฆทานมาก  การเลี้ยงพระก็ชอบ  เลี้ยงพระก็เป็นสังฆทาน สังฆทานแห้งก็ชอบ ที่ชอบมากที่สุดก็คือ  สังฆทานที่มีพระพุทธรูป  มีผ้าไตร  และมีอาหารแห้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งติดตาติดใจพระพุทธรูปกับผ้าไตร  ตอนต้นถวายพระพุทธรูปองค์ เล็กๆ จิตใจก็ไม่ชุ่มชื่น  อยากได้องค์ใหญ่ๆ ก็เลยทำบุญด้วยพระพุทธรูปหน้าตัก  ๙  นิ้ว  เพราะในโลกเขาถือเลข  ๙  กัน อะไรๆ ก็เลข ๙ แต่ความจริงเลข ๙  ไม่ได้มีความหมายเด่นไปกว่านั้น  ถ้าหากว่าฉันฉลาดฉันจะถวายพระ ๑๒  นิ้ว เป็นพระพุทธชินราชจะดีมาก เพราะสวยสดงดงามมาก แต่ทีนี้คนข้างๆ  บ้านบ้าง เพื่อนกันบ้าง ลูกหลานบ้าง เขาบอกว่า ๙ ดี  แต่ความจริง ๙ หน้า ๙ หลังนี่มันไปไม่ไกล ก้าวหน้าไป ๑ ก้าวถอยหลังไป ๑ ก้าว ก้าวเท่าไรก็อยู่แค่นั้น”

รวมความว่าน่าจะไปสูงกว่านี้ แต่กำลังใจดีไม่สมบูรณ์แบบ ก็อยากจะแนะนำให้ลูกหลานจงจำไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าบาป  ทำกันแล้วก็พอกันเสียที  ให้พยายามทรงความดี อย่างน้อยจิตใจตั้งอยู่ในทาน  คิดว่าทานการให้จะมีในเรา

ประการที่สองศีลรักษาทุกวันไม่ได้ก็รักษาบ้างเป็นประจำวัน

ประการที่สามกิจที่ฉันทำคือ  ฉันบูชาพระทุกวัน  ตอนหัวค่ำกับตอนเช้าตรู่  ฉันไม่มีเวลาภาวนามากแต่อาศัยการบูชาพระเป็นกำลัง  ฉันติดใจในภาพพระพุทธรูปมาก เวลาจะตายภาพพระพุทธรูปจึงปรากฏและในที่สุดพระพุทธเจ้าเสด็จมานี่เป็นปัจจัยให้ฉันเกิดความสุข ถ้าหากท่านไปพบลูกหลานของฉันบอกด้วยว่า “ฉันมีความสุข”

ต่อมาอาตมาก็หันมาคุยกับท่านปัญจสิกขเทพบุตรถามว่า  “หญิงคนนี้ตามบัญชีของท่านมีบุญวาสนาบารมีถึงไหน”  ท่านตอบว่า  “ท่านหมายถึงนิพพานใช่ไหม” ตอบว่า “ใช่” ท่านก็ตอบว่า “ยัง กำลังบารมียังอ่อนอยู่ยังไปนิพพานไม่ได้  ทั้งนี้เว้นไว้แต่ว่าถ้าเธอมาอยู่บนสวรรค์แล้วตั้งใจบำเพ็ญความดีเพื่อนิพพานต่อไปอาจจะไปได้  แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของเทวดาหรือพรหมจะพยากรณ์  เป็นหน้าที่ขององค์สมเด็จพระชินวรจะพยากรณ์แต่พระองค์เดียว  แต่ถ้าเธอทำความดี  ความดีก็จะช่วยเธอ”

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงรักษาความดี  ๔  ประการไว้คือ

๑) รู้จักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน 

๒) พูดไพเราะ ใช้วาจาดีๆ

๓) ช่วยเหลือการงานซึ่งกันและกัน

๔) ไม่ถือตัว

คุณธรรม  ๔  ประการนี้จะเป็นปัจจัยให้ท่านทั้งหลายมีความสุข  เพราะความรักกัน..”


ห้องสมุดธรรมะ