“..ปีพ.ศ. ๒๕๐๘ อาตมาย้ายจากวัดโพธิ์ภาวนาไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระครูวิชาญชัยคุณ ได้นิมนต์พระหลายวัดไปในวันไหว้ครู พระอรุณ อรุโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงสมัยนั้นก็ไปด้วย ได้พบอาตมาก็ชวนให้มาอยู่ที่วัด ขอให้มาช่วยในการก่อสร้าง ท่านรับรองว่าจะให้ความสะดวกทุกอย่าง อาตมาก็ไม่ได้รับปาก ต่อมาอาตมามาฉันเพลที่บ้านนายจัน ที่ตำบลท่าซุง ก็มานิมนต์อีกเป็นครั้งที่ ๒ อาตมาก็ไม่ได้รับปาก ต่อมาอาตมาย้ายไปอยู่ที่วัดสะพาน ก็ไปนิมนต์อีกเป็นครั้งที่ ๓ ก่อนที่เขาจะไปนิมนต์ครั้งที่ ๓ นี้ เวลาตี ๒ กำลังนั่งพระกรรมฐานอยู่ก็เห็นพระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งอ้วนใหญ่ และก็ไม่สูง ดินตุ๊ต๊ะๆๆ เข้ามาถึงก็บอกว่า “เขาเรียกผมกันว่า หลวงพ่อใหญ่ อยู่วัดท่าซุง วัดนี้ตั้งมานานแล้วก่อนกรุงศรีอยุธยาตั้งประมาณ ๓๐ ปี สมัยก่อนมีการรบราฆ่าฟันกัน วัดก็สลายตัวเป็นวัดร้าง เมื่อปีพ.ศ. ๒๓๓๒ หลวงพ่อใหญ่ท่านธุดงค์มาถึงตอนเช้ามาปักกลดที่นี่ ก็มีชาวบ้านขอให้อยู่ให้เป็นเจ้าอาวาสที่นี่ ท่านจึงเป็นองค์แรกที่ทำนุบำรุงสร้างขึ้นมาใหม่ ชาวบ้านช่วยสร้างกุฏิ ๙ ห้อง ทำด้วยไม้ดีมาก”

และท่านก็บอกอีกว่า “คุณเคยเป็นน้องของผม คุณเคยทำวัดนี้ให้เจริญรุ่งเรืองมาแล้ว ๒ สมัยในอดีตคือ สมัยพระเจ้าสามพระยากับสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เวลานั้นวัดเจริญรุ่งเรืองมาก แต่ว่าเป็นไม้เวลานี้มันผุพังหมดแล้ว สมัยนี้ขอให้มาช่วยสร้างใหม่ให้เจริญรุ่งเรืองเป็นครั้งที่ ๓ และเป็นครั้งสุดท้าย ต่อไปคุณจะไม่มีโอกาสเกิดมาได้ทำอีกต่อไปแล้ว”  จึงถามว่า “จะให้สร้างแบบไหน เจริญขนาดไหน” ท่านบอกว่า “ขนาดนี้” แล้วท่านก็ทำภาพให้ดู ปรากฏว่าเหมือนภาพวัดที่เห็นในปัจจุบันนี้เอง”  ถามท่านว่า “ผมจะเอาเงินที่ไหนมาสร้างครับ เวลานี้ตัวผมเองก็ยังเอาตัวไม่รอด คนที่มีศรัทธาจริงๆ ก็มีแต่มีปริมาณน้อย และคนที่มีอคตินอกเหนือจากพระพุทธศาสนามีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าอาวาสก็มีอคตินอกเหนือจากพระพุทธศาสนา”  ท่านบอกว่า“ ไปอยู่เถอะ ทีแรกมันก็ยุ่งหน่อย ต่อไปมันจะดีเอง ผมจะช่วยและผมจะนิมนต์พระจะเชิญพรหม จะเชิญเทวดา ใครต่อใครก็ตาม ช่วยกันทั้งหมดทำให้เจริญรุ่งเรืองตามภาพที่ทำให้ดูนี้ให้ได้”

ก็เป็นอันว่ารับปากท่าน ต่อมาอีก ๒-๓ วัน เจ้าอาวาสก็ไปนิมนต์ เวลาที่มานิมนต์ก็อยู่พร้อมหน้ากันหลายคน มี พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต กับภรรยาคือ คุณสิริรัตน์ โรจนวิภาต รวมอยู่ด้วย หลังจากนั้นจึงมาดูวัด ก่อนที่จะเข้ามาวัดก็อธิษฐานก่อนว่า “ถ้าหากที่นี้ควรจะมาอยู่ก็ขอมีอะไรสักอย่างใดอย่างหนึ่งให้ปรากฏ”  วันนั้นเมื่อฉันเพลเสร็จ หลังเที่ยงแล้วก็ปรากฏมีฝนตกขณะแดดกำลังจัด ไม่มีแต่ฝนเท่านั้นแต่ยังมีลูกเห็บก้อนโตกว่าหัวแม่มือหล่นลงมาเกลื่อนซ้อนกันเต็มบริเวณวัดทั้งหมดเลย พอมาดูสภาพของวัดก็มีกุฏิเจ้าอาวาสที่อยู่ได้เพียงหลังเดียว กุฏิอีกหลังหนึ่งคนเดินมาก็มองเห็นเพราะฝาโปร่ง นกบินมาก็มองเห็นเพราะหลังคาโปร่ง หอสวดมนต์ก็เย้จะพับฐาน ศาลาก็โย้จะล้ม วิหารก็หลังคาผุ โบสถ์ก็จะพัง ไม่มีอะไรดีเลยมีสภาพเหมือนกับวัดร้าง ในฐานะที่หลวงพ่อใหญ่ท่านมาบอก จึงยอมรับว่าจะมาช่วยก่อสร้าง

หลวงพ่อมาอยู่ที่วัดท่าซุง

วันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ เจ้าอาวาสกับคณะได้เอาเรือยนต์ขนาดใหญ่ไปรับช่วยขนของมาอยู่ที่วัดท่าซุง การมาก็มีเณรมา ๒ องค์ มีสุนัข ๑๒ ตัว พอมาถึงวัดตามลีลาที่หลวงพ่อปานท่านไปไหนต้องเข้าพระอุโบสถก่อน จะไปช่วยสร้างวัดไหนก็ตาม ท่านต้องเข้าพระอุโบสถไปไหว้พระในพระอุโบสถก่อนแล้วจึงขึ้นศาลา ตามระเบียบของท่านอาตมาก็ทำตามนั้น เมื่อเข้าไปไหว้พระแล้วก็อธิษฐานว่า “ถ้าอยู่ที่วัดนี้จะมีความเจริญรุ่งเรือง ก็ขอให้ท่านเจ้าของที่ เทวดาก็ดี  พรหมก็ดี หรือพระก็ตาม ที่ท่านคุ้มครองสถานที่อยู่แสดงองค์ให้ปรากฏ” ก็ปรากฏว่ามีพระคือหลวงพ่อใหญ่เป็นหัวหน้าและก็มีพระอีกหลายองค์จำนวนมากมานั่งข้างหน้าเต็มไปหมด พอท่านแสดงให้เห็นและก็ยืนยันว่า “ท่านจะช่วย” แต่มีอีกองค์หนึ่งไม่ยอมเข้าโบสถ์เดินไปเดินมาวนอยู่หน้าโบสถ์ ไม่ยอมเข้าประตูมาก็นึกแปลกใจจึงถามว่า “ท่านองค์นั้นมีความเห็นอย่างไรครับ เห็นว่าผมควรจะมาอยู่หรือไม่ควรมาอยู่ ถ้าท่านเห็นว่าผมควรจะมาอยู่ก็ขอให้เข้ามาในโบสถ์ ถ้าไม่ควรมาอยู่ก็อย่าเข้ามา และผมจะเดินทางกลับทันที”

ท่านก็เข้ามาและบอกว่า “คุณควรมาอยู่แต่ว่าการอยู่ต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเงินที่นี่ ทั้งคนทั้งพระเขาต้องการเงิน ที่เขาให้คุณมานี่เขาหวังจะได้เงินจากคุณ แต่คุณเป็นคนตรงไปตรงมาจะไม่น้อมใจไปตามเขา ต่อไปเขาจะประกาศตนเป็นศัตรูกับคุณ เขาจะมีความดีกับคุณอยู่ประมาณครึ่งปี หลังจากนั้นก็ไม่มีดีอีกแล้วเพราะว่าเขาไม่ได้รับผลตามที่เขาต้องการ” ก็เลยถามท่านว่า “แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป”  ท่านก็บอกว่า “ในที่สุดเขาก็จะแพ้ไปเอง คำว่าแพ้หมายถึงเขาจะเลิกราไปเอง เราก็จะเป็นอิสระ”  ถามว่า “การจะเป็นอิสระ เขาจะแพ้ไปด้วยอำนาจอะไร”  ท่านบอกว่า “จะมีพระผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ วัดไม่โตนักแต่ยศสูง รูปร่างผอม สูงโปร่ง เป็นพระผู้ใหญ่ตรงไปตรงมา เก่งในพระกรรมฐานมาก กำลังใจของพระองค์นี้เป็นพระที่ควรแก่การเคารพอย่างยิ่ง จะเข้ามาอุ้มชูคุณให้เป็นไปตามความเป็นจริง” ถามว่า “เป็นเพราะอะไรครับ”  ท่านก็บอกว่า “เพราะเขาจะร่วมมือกันฟ้องคุณ” และท่านก็บอกว่า “วัดที่คุณเห็นเวลานี้ ที่มันไม่พอจริงๆ และที่จริงๆ มันจดคลองยาง แต่เขาสร้างโรงเรียน ทางวัดกับทายกเลยยกให้เป็นที่ของโรงเรียนไป

เป็นอันว่าวัดติดโรงเรียนไม่ใช่วัดติดคลองยาง และประการที่สองโบสถ์ชำรุดถ้าคุณจะสร้าง เขาก็ไม่ยอมให้สร้างเพราะเขารู้ว่าคุณสร้างก่อนจ่ายทีหลัง เขาไม่ได้เงินแน่ ต่อไปคุณก็จะซื้อที่ใหม่ฝั่งตรงข้ามถนน แต่ความจริงถนนเขาตัดผ่านที่ของวัด ที่ฝั่งโน้นที่เป็นของชาวบ้านเวลานี้เดิมก็เป็นที่ของวัด แต่บรรดาเจ้าอาวาสที่สึกไปแล้วกับเจ้าอาวาสปัจจุบันร่วมมือกันขายแก่ชาวบ้าน ที่วัดจึงเหลือแค่ ๖ ไร่ เนื้อที่ของวัดจริงๆ มี ๓๗๐ ไร่ถามว่า “ผมควรจะอยู่หรือควรจะไม่อยู่” หลวงพ่อใหญ่ท่านยืนยันว่าควรจะอยู่แล้วเขาจะแพ้พ่ายไปเอง

 

พบหลวงพ่อขนมจีน

ตอนแรกที่มาอยู่ กุฏิที่เจ้าอาวาสให้อยู่มีแต่พื้นกับหลังคา ฝาก็ไม่มี ต่อมาต้องมาสร้างกระต๊อบอยู่โคนต้นโพธิ์ คืนแรกที่มาอยู่วัดท่าซุง เขามีลิเกฉลองให้ แต่อาตมามีนิสัยดูลิเก ดูละคร ดูหนัง ไม่สนุกมาตั้งแต่อายุ ๒๕ ปี จึงนอนเฉยๆ ก็มีพระองค์หนึ่งก้าวเข้ามาทางหน้าต่าง พูดสำเนียงเป็นเจ๊กชัดๆ จึงถามว่า “ท่านชื่ออะไร” ท่านตอบว่า “ชื่อเส็ง” (ที่อาตมาเรียกว่าหลวงพ่อขนมจีน ในอดีตท่านเคยเป็นน้อง” ถามว่า “ท่านอยู่ที่ไหน” ตอบว่า “ผมเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุง รองจากหลวงพ่อใหญ่ เมื่อหลวงพ่อใหญ่ท่านมาอยู่ที่นี่ ท่านมาธุดงค์ปักกลดที่นี่ ชาวบ้านเขานิมนต์ให้ท่านอยู่เป็นเจ้าอาวาส ผมเป็นคนแจวเรือค้าขายมีความเลื่อมใสจึงมาอยู่กับท่าน ช่วยท่านในฐานะเป็นช่าง ต่อมาก็บวช เมื่อหลวงพ่อใหญ่มรณภาพไปแล้ว ท่านก็เป็นเจ้าอาวาสแทน”

ท่านบอกอีกว่า “วัดที่ตั้งอยู่เวลานี้ ความจริงตั้งอยู่ในป่าช้าเก่า แม่น้ำสายเดิมจริงๆ เป็นแม่น้ำสายเล็ก ศาลาการเปรียญตั้งอยู่กลางแม่น้ำ เสาหงส์ก็อยู่กลางแม่น้ำในปัจจุบัน ต่อมามีเรือเมล์วิ่งรอกเข้าออก ลูกคลื่นก็ตีตลิ่งพังแม่น้ำจึงกว้างขึ้น เขาจึงต้องย้ายกุฏิมาอยู่ที่นี่ และเมื่อก่อนแม่น้ำสะแกกรังตอนหลังแล้ง น้ำก็แห้ง ก็ต้องกินนํ้าในบึงเล็กๆใกล้ๆ ท่านก็ชี้ให้ดู เวลานี้คือตึกกลางน้ำสมัยนั้นเป็นบึงเล็กๆ” ถามว่า “ที่วัดนี้เคยมีพระอริยเจ้าบ้างไหม” ท่านตอบว่า “มี” ถามว่า “ตอนก่อนมีใครบ้าง” ท่านบอกว่า “ท่านไม่ทัน แต่ตอนหลังๆ หลวงพ่อใหญ่เป็นพระอริยเจ้าท่านเป็นพระอนาคามี แต่ว่าก่อนจะตายท่านเป็นพระอรหันต์” ถามว่า “หลวงพ่อละเป็นอะไร” ท่านบอกว่า “ข้าก็ไม่รู้ หลวงพ่อใหญ่ไปไหนข้าก็ไปที่นั่นแหละ”

ก็เป็นอันว่าท่านยอมรับว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ถามว่า “หลังจากนั้นมีใครบ้างเป็นพระอริยเจ้า” ท่านบอกว่า “นับเรื่อยมาหลาย สมัยจนกระทั่งถึงหลวงพ่อเล่งกับหลวงพ่อไล้ สององค์พี่น้องในขณะที่ทรงชีวิตอยู่เป็นผู้ทรงฌาน แต่ก่อนจะตายทั้งสององค์เป็นพระอรหันต์เพราะทุกขเวทนามันหนัก เห็นโทษของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เห็นโทษของร่างกายจึงเป็นพระอรหันต์ไป หลังจากนั้นต่อมาก็เป็นภิกขุพานิช หมายความว่า ขายกินกัน คือ ขายกุฏิ ขายฝากุฏิ ขายที่วัด รวมความว่าวัดนี้มีคนขโมยของวัดมาก”

เมื่ออาตมามาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้ว เจ้าอาวาสไม่ยอมให้สร้างพระอุโบสถที่ทรุดโทรมมากแล้วที่ฝั่งเดิม ในที่สุดก็มาซื้อที่ฝั่งตรงข้าม ๑๒ ไร่ และก็ซื้อเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้มีที่ทั้งหมดจริงๆ ประมาณ ๒๐๐ไร่เศษ คนนั้นซื้อบ้าง คนนี้ซื้อบ้าง การสร้างวัดท่าซุงดังที่เห็นในเวลานี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโปรดทราบว่า อาตมาไม่ได้มีเงินก้อนมาจากไหน แต่มาจากศรัทธาของบรรดาท่านทั้งหลายมากบ้างน้อยบ้างตามกำลังศรัทธาที่ร่วมทำบุญกันมา

หลวงพ่อจันทร์เจ้าของชื่อวัดจันทาราม(ท่าซุง) ท่านอยู่บนพระนิพพาน

เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ เวลาเย็นเกือบ ๑๘.๐๐ น. อาตมาป่วยมากมีอาการปวดและอืดอาเจียนเป็นเสมหะ ได้มีพระเนื้อเต็มรูปร่างสูงท่านหนึ่งมานั่งด้านขวามือ ท่านเอามือมาลูบที่อกไปมา ๒-๓ ครั้ง แล้วท่านก็พูดว่า “ร่างกายอย่ามีอันตรายนะ” จึงถามพระท่านนี้ว่า “ท่านชื่ออะไร” ท่านตอบว่า ผมชื่อจันทร์ เจ้าของชื่อวัดจันทาราม (ท่าซุง) นั่นเอง

หลวงพ่อจันทร์ท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๓ ของวัดนี้  สมัยนั้นวัดนี้เจริญรุ่งเรืองและมีชื่อเสียงมากจึงให้นามว่า วัดจันทาราม สมัยก่อนนั้นชื่อวัดอะไรไม่ทราบเพราะว่าหลวงพ่อจันทร์ท่านเป็นพระยาและเป็นนักรบเก่ามาก่อน คงจะแก่ถึงบวช เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็สอนวิชาความรู้ต่างๆ สอนกระทั่งวิชาการรบให้แก่ชาวบ้าน และมีผ้ายันต์สีแดง หนังเหนียวมาก ถ้าทหารไปพักที่วัดท่านจะแจกผ้ายันต์สีแดง พอแจกเสร็จก็ให้แทงกันเดี๋ยวนั้นทั้งกองทัพ โดยถอดเสื้อก่อน จะเห็นว่าคนสมัยนั้นไม่ว่าชาวบ้านหรือทหารคลุกคลีตีโมงอยู่กับวัด และวัดก็เต็มไปด้วยธรรมวินัย พระส่วนใหญ่ก็เป็นพระดี เพราะถ้าไม่ดีจริงๆ ก็อดตาย พระสมัยนั้นมีดีอยู่ ๒ อย่างคือ

๑) ดีเพราะสมณธรรมดี โดยมากคนเขาชอบฤทธิ์

๒) ถ้าสมณธรรมไม่ดี ก็ต้องมีวิชาความรู้พิเศษดี ความรู้พิเศษก็เช่น ทำนํ้ามนต์เก่ง ทำอิทธิฤทธิ์เก่ง ด้วยวิชาการ ต้องเก่งอย่างใดอย่างหนึ่ง

การเก่งอย่างนั้นก็เกิดจากอารมณ์สมาธิ คืออารมณ์จิตต้องเป็นสมาธิ หลวงพ่อจันทร์ท่านบอกอาตมาว่า “ต่อมาภายหลังท่านได้เป็นพระอริยเจ้า คือเป็นพระอรหันต์”

พระสงฆ์สององค์สมัยหลวงพ่อเล่งกับหลวงพ่อไล้เป็นพระอรหันต์ก่อนตาย

วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ ตอนสายอาตมานอนภาวนา เห็นพระสงฆ์มายืนห่างๆ ๒ องค์เป็นพระหนุ่มผิวคล้ำทั้งคู่ คิดว่าผีจึงทำเฉยๆ ต่อมาคิดว่าผีพระจะมาทำไม จึงถามท่านว่า“ท่านเป็นใคร” ท่านตอบว่า “ผมไม่ใช่ผี ผมเป็นพระ” ถามท่านว่า “ท่านอยู่ที่ไหน” ท่านตอบว่า “ท่านเป็นพระอรหันต์ก่อนตาย” ถามว่า “ท่านเป็นพระสมัยไหน” ท่านตอบว่า “สมัยหลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้” เมื่อพูดถึงหลวงพ่อทั้งสององค์ก็ปรากฏ หลวงพ่อเล่งท่านพูดว่า “คุณอย่าหนักใจคนแถวนี้เลยว่ามันขโมยของวัด เพราะว่ามันขโมยมาเป็นปกติอยู่แล้ว สมัยผมมันก็ขโมยไม่เลือก” ถามพระหนุ่ม ๒ องค์ว่า “สมัยหลวงพ่อทั้งสององค์มีพระอรหันต์ ทำไมวัดไม่เจริญ เพราะพระอรหันต์มีที่วัดไหน วัดนั้นจะเจริญถึงที่สุดเป็นกฎธรรมดา”  พระทั้งสององค์ก็ตอบว่า “วัดเจริญครับ มีกุฏิ ๘ หลัง เรียงกับหอสวดมนต์ และมีกุฏิ ๙ หลังอยู่หนึ่งหลัง ศาลา พระอุโบสถ วิหาร สมัยนั้นเจริญ แต่เมื่อสิ้นพระอรหันต์แล้ว พวกเจ้าอาวาส ทายก ชาวบ้านช่วยกันขายหมด..”